วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชาขาว ประโยชน์ของชา





ชาขาว มีชื่อเดิมตามภาษาท้องถิ่นจีนว่า “ หยินเซน ” ซึ่งแปลว่า “ เข็มเงิน ” ชาวจีนดื่มชาขาวมายาวนานกว่า 1,500 ปี ในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน ชาขาวเป็นหนึ่งในชาที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นชาที่มีคุณสมบัติดี หายาก และมีราคาแพง จึงถือเป็นชาชั้นสูงสำหรับพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ชาขาวจะคล้ายกับชาเขียวตรงที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการหมักเลย (หนังสือและตำราเกี่ยวกับชาหลายฉบับระบุไว่ว่า ชาขาวคือชาเขียวชนิดหนึ่ง) แต่ต่างกันตรงที่การเก็บใบชาเพื่อนำมาทำเป็นชาขาว จะต้องคัดเลือกเอาแต่เฉพาะยอดอ่อนที่มีความสมบูรณ์เต็มที่ นั่นก็คือ จะต้องเก็บชาก่อนที่ ยอดอ่อนซึ่งปกคลุมไปด้วยขนเล็กๆ สีขาวจะคลี่ใบออกมา และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ชาขาว โดยจะต้องเก็บยอดอ่อนด้วยมือภายในระยะเวลา ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ที่สำคัญชาขาวที่เก็บมานั้นจะถูกทำให้แห้งโดยวิธีธรรมชาติ ด้วยการตากแดดให้แห้งสนิท

ประโยชน์
ในปัจจุบันนี้ สารเคมีธรรมชาติที่เรียกว่า Polyphenols เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นแอนติออกซิเดนท์เข้มข้น สารเคมีธรรมชาติที่ทรงพลังนี้จะช่วยพัฒนากระบวนการป้องกันสารพิษในร่างกาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีปฏิกิริยาต่อต้านร่างกายPolyphenols พบกันทั่วไปในชาหลายประเภทรวมทั้งชาเขียว แต่จากขั้นตอนการปรุงชาที่ต้องทำให้ชาแห้งและผ่านขั้นตอนการให้ความร้อนทำให้ Polyphenols จำนวนมากสูญสลายไป แต่ Polyphenols ยังคงมีอยู่ใน White Tea ด้วยเหตุผลสองประการ
1. White Tea มาจากช่อใหม่ของต้นชาซึ่งมีพลังงานอยู่ในระดับศักยะภาพสูงสุด
2. หลังจากการเก็บใบชา White Tea จะไม่มีการม้วนหรือให้หมัก แต่จะปล่อยให้แห้งไปเองโดยแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ นักวิจัยคาดการณ์ว่าขั้นตอนที่กระชับที่สุดเหล่านี้เองที่ช่วยรักษาให้ White Tea มีความบริสุทธิ์กว่าและอยู่ในสภาวะมีพลังงานมากกว่า White Tea มีคุณค่าของแอนติออกซิเดนท์มากกว่าชาเขียวถึงสามเท่า White Tea ยังป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายมากกว่าชาเขียวถึงสิบเท่า และความสามารถในการปกป้องผิวก็ยิ่งสูงกว่าด้วยเช่นกัน
การชงและการเสิร์ฟ
เมื่อต้องการจะดื่มชาให้ตักใบชาใส่ช้อนจำนวนสองช้อนโต๊ะ แต่ละช้อนจะมีปริมาณชาพอที่ชงใส่ถ้วยขนาด 8 ออนซ์ จากนั้นนำไปใส่เครื่องกรอง ให้กรองประมาณ 4-5 นาทีผ่านน้ำร้อนสะอาดที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือด Silver Tip White Tea มีรสชาติในตัวอยู่แล้วซึ่งไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล นม หรือมะนาว แต่อย่างใด ชาที่มีราคาสูงนี้มีแอนติออกซิเดนท์ปริมาณมากอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และยังมีคาเฟอีนต่ำอีกด้วย
3. เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีมากกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า ช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่น สีผิวด่างดำ และแห้งกร้าน ในวงการทันตกรรมก็ยังนำชาขาวไปคิดค้นให้เป็นสารสกัดในยาสีฟัน เพื่อยับยั้งแบคทีเรียในช่องปากและป้องกันฟันผุ

1.ใส่ใบชาในกาชาประมาณ 1/6 -1/4
2.รินน้ำเดือดลงในกาชาครึ่งหนึ่ง เททิ้งทันที (ไม่ควรเกิน 5 วินาที) เพื่อล้าง และอุ่นใบชาให้ตื่นตัว
3.รินน้ำเดือดลงในกาชาจนเต็ม ปิดฝากา ทิ้งไว้ประมาณ 45 – 60 วินาที
4.รินน้ำชาลงในแก้วดื่ม (การรินแต่ละครั้ง ต้องรินน้ำให้หมดกา มิฉะนั้น จะทำให้น้ำชาที่เหลือมีรสขม ฝาดมากขึ้น เสียรสชาติ) ใบชาสามารถชงได้ 4 – 6 ครั้ง หรือจนกว่ากลิ่นชาจะหายหอมไป และในการชงแต่ละครั้ง ให้เพิ่มเวลาครั้งละ 10 – 15 วินาที

การชงชาให้ได้รสชาติดี มีข้อสำคัญ 4 ประการ คือ….
1.ปริมาณใบชา จะใช้ใบชาเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของใบชา เช่น ชายที่มีรูปกลมแน่น กลมกลวม หรือเป็นเส้น ถ้าใช้ใบชาที่มีลักษณะกลม แน่น จะใช้ชาประมาณ 25 % ของกาชา ใบชาเมื่อแช่อยู่ในน้ำร้อน จะเริ่ม คลี่ตัวออกทีละน้อย จนเป็นใบชัดเจน ถ้าใส่มากเกินไป จะทำให้การคลาย ตัวไม่สะดวก ซึ่งรสชาติที่ชงออกมาจะไม่ได้ตามมาตรฐานของชานั้นๆ และ การเสียของใบชา เมื่อคลายตัวออกมาเต็มที่ ควรจะมีปริมาณประมาณ 90% ของกาชา
2.อุณหภูมิน้ำ น้ำที่ชงชาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส แต่ต้องดูว่าจะชงชาประเภทใด เช่น อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะสำหรับชงชาที่ทรงแน่นกลม อุณหภูมิ 80 – 90 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับชาที่มีรูปร่างบอบบาง แตกหักง่าย หรือชาที่มีใบอ่อนมาก อุณหภูมิต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียส ใช้ชงกับชาเขียวทั่วๆไป
3.เวลา การใช้เวลานานหรือไม่นานนั้น จะบอกได้ว่า น้ำชาจะอ่อนหรือ แก่ โดยปกติประเภทกลมแน่น จะใช้เวลาใรครั้งแรกประมาณ 40 – 60 วินาที ครั้งต่อๆไป เพิ่มอีกครั้งละ 10 – 15 วินาที/ครั้ง
4.กาชา กาที่ใช้ควรเป็นกาที่ทำจากดินเผา กาดินเผาจะเก็บความร้อน ได้ดีกว่า และให้การตอบสนองที่ดีกว่ากาที่ทำจากวัสดุอื่น